นอกจากการสอนที่โดดเด่นของ ดร. สุภาพรรณ เสราภิน แล้ว นักศึกษาใน University of Arizona ยังรู้จักเธอดีในฐานะแม่ครัวอาหารไทยฝีมือเยี่ยมด้วยเช่นกัน ปัจจุบันนี้ ดร. สุภาพรรณ เป็นศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรม-วัสดุศาสตร์ College of Engineering และสอนที่ College of Optical Science และDepartment of Agriculture and Biosystem Engineering,
College of Agriculture and Life Sciences
นอกเหนือจากงานสอนประจำวัน ทุกๆ สัปดาห์ ดร. สุภาพรรณยังจัดกิจกรรมประกอบอาหารไทยที่หอพักนักศึกษาของมหาวิยาลัย http://www.youtube.com/watch?v=GInYsAF6hLw โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อสร้างสังคมแห่งการอยู่อาศัยเพื่อการเรียนรู้ (Living-learning community) ให้เกิดขึ้นในเขตมหาวิทยาลัย และยังสร้างและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษาและอาจารย์ภายนอกห้องเรียน รวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์และการพึ่งพากันและกันระหว่างนักศึกษา ไม่เพียงแต่กิจกรรมต่างๆ และฝีมือการปรุงอาหารไทยที่ทำให้นักเรียนชื่นชม นักศึกษาเหล่านั้นยังประทับใจในการเรียนการสอนและความทุ่มเทเอาใจใส่ของ ดร. สุภาพรรณ และทำให้วิชาวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เธอสอน ยังเป็นวิชายอดนิยมในหมู่นักศึกษาอีกด้วย
ดร. สุภาพรรณ ได้รับปริญญาตรีในสาขาเคมีจากมหาวิทยาลัยมหิดล และปริญญาโทในสาขาเทคโนโลยีด้านพลังงาน จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธรบุรี จากนั้น ดร. สุภาพรรณได้ใช้เวลาอีก 18 เดือนในการทำวิจัยสาขา Engineering Science ที่ Kyoto University เมือง Kyoto ประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาที่มีชื่อว่า Monbusho Scholarship ซึ่งเป็นทุนการศึกษาที่มีชื่อเสียงและมีเกียรติของประเทศญี่ปุ่น และ สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอกสาขา Materials Science and Engineer จาก Arizona State University เมือง Tempe รัฐ Arizona ประเทศสหรัฐอเมริกา
ความสำเร็จทางการศึกษา และการเป็นอาจารย์ขวัญใจนักศึกษาจำนวนมากของ ดร. สุภาพรรณ มีความเป็นมาอย่างไร สำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฯ ขอนำบทสัมภาษณ์ของ ดร. สุภาพรรณ ให้ทุกท่านได้รับทราบกัน
|
คำถาม เหตุผลใดที่ทำให้ อาจารย์เลือกศึกษาและทำงานในสายเคมี วัศดุศาสตร์ และวิศวกรรม? |
|
ดิฉันมีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็กๆ ดิฉันยังจำได้ว่าในตอนนั้น ดิฉันมีความสงสัยในสิ่งต่างๆ เช่น สบู่ทำความสะอาดมือของเราได้อย่างไร แชมพูทำความสะอาดผมของเราได้อย่างไร ผงซักฟอกทำความสะอาดเสื้อผ้าของเราได้อย่างไร ส่วนใหญ่ดิฉันมักจะคิดถึงสิ่งต่างๆ ในมุมมองระดับอะตอมและโมเลกุล ระหว่างที่ดิฉันกำลังศึกษาในระดับปริญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ดิฉันได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการชุบโลหะด้วยไฟฟ้า (Electroplating) เพื่อผลิต Black Chrome ซึ่งเป็นผิวเลือกรังสี (Selective Surfaces) สำหรับการแปรผันพลังงานอุณหภูมิ (Solar Thermal Energy) ในตอนนั้น ดิฉันได้เรียนรู้แนวความคิดทางวิศวกรรมหลายๆ อย่าง เช่น Optimization, เงื่อนไขของตัวแปร (Constraints of design parameters) และดัชนีชี้วัดการทำงาน (Performance index) จึงเป็นการจุดประกายให้ดิฉันเลือกเรียนเกี่ยวกับวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมเนื่องจาก ดิฉันเชื่อว่าในทุกๆ กระบวนการในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะต้องเริ่มต้นด้วยการพัฒนาคุณสมบัติของวัสดุต่างๆ เพื่อให้มีราคาที่เป็นเหตุเป็นผล มีประสิทธิภาพ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และมีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม |

|
คำถาม อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทยและต่างประเทศ? |
|
สิ่งที่ยากที่สุดในการเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือ ผู้เรียนจะต้องมีความอุสาหะพยายามอย่างมาก แต่การที่จะมีความอุสาหะพยายามจะต้องมีใจรักและความสนใจในสิ่งที่ทำ คนที่อยากจะเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะต้องมีความสนใจในธรรมชาติและพยายามที่จะเข้าใจการทำงานของธรรมชาติ แม้ว่าในการเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์มีข้อมูลจำนวนมากที่จะต้องเรียนและจดจำ แต่มันจะง่ายขึ้นมาก เมื่อมีคำถามหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำงานของสิ่งต่างๆ ที่สามารถกระตุ้นหรือท้าทายเราให้เรามีความรู้สึกตื่นเต้นได้ สำหรับการศึกษาต่อในต่างประเทศ ดิฉันคิดว่าความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับนักเรียนในต่างแดน โดยเฉพาะนักเรียนส่วนใหญ่ที่เกิดและเติบโตในประเทศไทย และไม่เคยมีประสบการณ์ในโรงเรียนนานาชาติมาก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อเราสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ใหม่ได้แล้ว การเรียนในต่างประเทศก็ไม่ยากหรือง่ายไปกว่าการเรียนในประเทศบ้านเกิด และขณะเดียวกัน ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาต่อต่างประเทศด้านหนึ่งคือ การได้มีความรู้ในภาษาใหม่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส หรือภาษาเยอรมัน นอกจากนี้ การใช้ชีวิตอยู่ระหว่างประเทศช่วยให้เราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เพราะเราต้องพึ่งพาตัวเอง ต้องเอาชนะความคิดถึงบ้าน และต้องพยายามหาเพื่อนใหม่ |
|
คำถาม ขอให้อาจารย์กรุณาช่วยบอกเล่าเกี่ยวกับผลงานการวิจัยที่กำลังทำอยู่ขณะนี้และงานดังกล่าวมีความสำคัญต่อภาคการผลิตและภาคสังคมอย่างไร |
|
ดิฉันได้ทำการวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับ Carbon 60 และ Carbon Nanotubes (CNTs) ซึ่งเริ่มทำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 โดยวัสดุทั้งสองมีลักษณะเฉพาะตัวจำนวนมากที่ไม่เหมือนวัสดุชนิดอื่นๆ งานวิจัยของนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างของวัสดุดังกล่าวในระดับนาโนเมตร (Nanometer) ให้เข้ากับกระบวนการการเติบโตและความเข้าใจในกลไกในการเติบโต โดย CNTs สามารถถูกเปลี่ยนแปลงไปได้หลายรูปทรงและหลายรูปแบบ เช่น รูปทรงกรวยและทรงกระบอกแบบผนังชั้นเดียว (single-wall) ผนังสองชั้น (Double-wall) และหลายชั้น (Multiple-wall) และยังมีตัวอย่างการนำ CNTs ไปประยุกต์ใช้ที่ดิฉันได้ทำการศึกษา เช่น การผลิตจอคอมพิวเตอร์แบบแบน (Flat panel display) และ อุปกรณ์การสื่อสารแบบไร้สาย ซึ่งการนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้ CNTs มาใช้ในเชิงพาณิชย์ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกซักระยะหนึ่ง และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการทำวิจัยและพัฒนา งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง ดิฉันได้ร่วมมือกับนักวิจัยหลายๆ ท่านจากประเทศไทยศึกษาเกี่ยวกับ อนุภาคนาโน (Nanoparticles) เช่น ไททาเนีย (Titania) ซิงค์ออกไซด์ (Zinc oxide) และ วัสดุแม่เหล็กชนิด Ferromagnetic Materials อนุภาคเหล่านี้มีลักษณะที่น่าสนใจเมื่อวัสดุเหล่านี้มีขนาดระดับนาโนเมตรโดยการคัดคุณสมบัติทางพื้นผิวที่โดดเด่น (surface dominant properties) และการจำกัดทางควอนตัม (Quantum Confinement)
|
|
คำถาม มีเทคโนโลยี หรือทฤษฎีในสาขาวัสดุศาสตร์ที่เกิดใหม่ใดที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในประเทศไทย และมีปัญหาหรือข้อจำกัดใดหรือไม่? |
|
มีงานวิจัยหลายๆ ชิ้นในเมืองไทยที่เกี่ยวกับ Cabon nanotubes และ อนุภาคนาโน ซึ่งผลที่ออกมาไม่ปรากฏปัญหาหรืออุปสรรคในการนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้งานเลย งานวิจัยหลายๆ ชิ้นมีความพยายามที่จะผลิตอนุภาคนาโนด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และในงานวิจัยบางชิ้น นักวิจัยพยายามที่จะนำอนุภาคนาโนไปใช้ในการทำความสะอาดขยะทางสิ่งแวดล้อม ดิฉันมีความเชี่ยวชาญพิเศษทางด้านจุลทรรศนศาสตร์อิเล็กตรอน (electron microscopy) และคาดหวังที่จะเห็นการนำเอากล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (Scanning electron microscope, SEM) และกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องผ่าน (Transmission electron microscopes, TEM) มาใช้มากขึ้นในประเทศไทย |
|
คำถาม ในฐานะที่อาจารย์เป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา (ATPAC) อาจารย์ได้รับประสบการณ์ในการเป็นสมาชิกของ ATPAC อย่างไรบ้าง |
|
สมาคม ATPAC เป็นเครือข่ายนักวิชาชีพไทยที่ดีมากๆ ที่ช่วยเชื่อมโยงพวกเราซึ่งเป็นคนไทยที่มาประกอบอาชีพอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา กับนักการศึกษา และเจ้าหน้าที่ของหน่วงงานรัฐบาลต่างๆ ในประเทศไทย ดิฉันเองได้รับประโยชน์มากมายจากการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาคม ATPAC ได้ทำงานร่วมกับสมาคม ATPAC ทำให้ดิฉันไม่รู้สึกว่าดิฉันเป็นเพียงคนเดียวที่กำลังพยายามถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในประเทศสหรัฐฯ กลับสู่ประเทศไทย นอกจากนั้น ดิฉันยังได้พบกับเพื่อนใหม่ๆ และขยายเครือข่ายไปยังนักวิชาชีพท่านอื่นๆ ผ่านสมาคมอีกด้วย |

ก่อนจบการสัมภาษณ์นี้ ดร. สุภาพรรณ ได้ฝากความคิดเห็นและข้อแนะนำที่น่าสนใจผ่านบทสัมภาษณ์ ดังนี้
ดิฉันขอแบ่งปันบทความที่น่าสนใจมากชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่า “Drain or gain? Poor countries can end up benefiting when their brightest citizens emigrate” ซึ่งลงในนิตยสาร Economist ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ในบทความนำเสนอว่า นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านได้พิจารณาและพบว่าทฤษฎีสมองไหล (Brain-drain hypothesis) มองข้ามผลทางบวกจากการโอนเงินข้ามชาติกลับมายังบ้านเกิด ผลกระทบทางบวกที่ได้รับจากผู้ย้ายถิ่นที่เดินทางกลับบ้านเกิด และโอกาสในการได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นในต่างแดน นักวิเคราะห์หลายๆ ท่านกล่าวว่า เมื่อคำนึงถึงประเด็นเหล่านี้แล้ว การย้ายถิ่นออกจากบ้านเกิดของผู้ที่มีความรู้ความสามารถเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่บ้านเกิดของคนเหล่านั้นได้ทางหนึ่ง ผู้ที่สนใจอ่านบทความสามารถติดตามอ่านได้ที่เว็ปไซต์ : http://www.economist.com/node/18741763
และอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะฝากไว้ คือ การลงทุนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาจจะดูเหมือนเป็นสิ่งที่มีราคาสูงเมื่อคำนึงถึงผลในระยะสั้น แต่ในระยะยาว หากประเทศไทยต้องการที่จะมีพลังและความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก เราจะต้องคิดและมีวิสัยทัศน์ในระยะยาว และเริ่มให้ความสำคัญกับการลงทุนทางการศึกษาและการทำวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มากขึ้น
ดร. สุภาพรรณ ยังคงนำความรู้และประสบการณ์ที่เธอได้รับในประเทศสหรัฐอเมริกากลับไปถ่ายทอดสู่สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 2 – 5 สิงหาคม 2554 เธอและเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันมีกำหนดเดินทางไปจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง Scanning Electron Microscopy (SEM), Transmission Electron Microscopy (TEM) and X-ray Fluorescence Spectroscopy ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยการสนับสนุนของสำนักงานที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน และคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Reference : http://www.ostc.thaiembdc.org/interview7.html
Leave a Reply